ผักเชียงดา ผู้ฆ่าน้ำตาล
ปรับปรุงล่าสุด : 10 กุมภาพันธ์ 2565ผักเชียงดามีคุณประโยชน์มากมาย แต่สรรพคุณที่เด่นชัดก็คือ การถูกเรียกว่าเป็นผู้ฆ่าน้ำตาล ทั้งนี้รากศัพท์จากชื่อวิทยาศาสตร์ของผักเชียงดา คือ จิมนีมา (GYMNEMA) มาจากคำที่มีรากศัพท์ของภาษาฮินดูในประเทศอินเดียว่า เกอร์มาร์ (GURMAR) ซึ่งแปลตรงตัวว่าผู้ฆ่าน้ำตาล
“ผักเชียงดาสามารถยับยั้งการดูดซึมและลดระดับน้ำตาลในลำไส้ของทางเดินอาหารในคน และ สัตว์ได้”
เมื่อเคี้ยวผักเชียงดาแล้วลองรับประทานน้ำตาลทรายตามเข้าไปจะทำให้ไม่สามารถรับรู้รสหวานได้ และอีกประการหนึ่งคือ ผักเชียงดาสามารถยับยั้งการดูดซึมและลดระดับน้ำตาลในลำไส้ของทางเดินอาหารในคน และ สัตว์ได้ โดยพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์นี้คือ จิมนีมิคแอซิด (GYMNEMIC ACID) ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ที่สกัดได้จากใบและรากของผักเชียงดา โดยลักษณะโครงสร้างทางเคมีของ จิมนีมิคแอซิด มีการจัดเรียงตัวของอะตอมในโมเลกุลคล้ายกับโมเลกุลของน้ำตาล ดังนั้นเมื่อมีการรับประทานผักเชียงดาเข้าไปแล้ว โมเลกุลของ จิมนีมิคแอซิด จะเข้าไปจับกับตัวรับของปุ่มรับรสหวานในปาก โดยใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง จึงไปขัดขวางการทำงานของปุ่มรับรสหวานจากการกระตุ้นโดยโมเลกุลของน้ำตาลที่อยู่ในอาหาร ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากรับประทานผักเชียงดาแล้วตามด้วยอาหารที่มีรสหวานถึงไม่รับรู้ถึงความหวานของอาหารนั้นได้
นอกจากการยับยั้งการทำงานของตัวรับของปุ่มรับรสในปากแล้ว ในส่วนของลำไส้เล็กก็จะพบโครงสร้างที่คล้ายกันกับตัวรับที่พบในปากตรงบริเวณเนื้อเยื่อชั้นนอกที่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำตาลกลูโคสในผนังของลำไส้เล็ก ดังนั้นด้วยกลไกการยับยั้งที่คล้ายกันจึงทำให้สามารถยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้เล็กได้ ดังนั้นจึงได้มีการนำผักเชียงดามาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานเพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาลที่มากเกินความต้องการของร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยที่ยืนยันว่าผักเชียงดาสามารถยับยั้งการดูดซึมกลูโคสในทางเดินอาหารได้โดยพบว่ากลุ่มตัวอย่างของคนที่รับประทานแคปซูลของผักเชียงดาเข้าไปหลังจากรับประทานกลูโคสทันทีหรือหลังจากรับประทานกลูโคสเป็นเวลา 15 นาที จะพบว่าระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเพิ่มปริมาณการบริโภคของแคปซูลเป็นสองเท่าพบว่าปริมาณของกลูโคสลดลงมากกว่ากรณีแรก รวมทั้งยังได้มีการศึกษาผลของแคปซูลจากผักเชียงดาต่อความเป็นพิษต่อตับซึ่งก็พบว่าผักเชียงดาไม่มีพิษต่อตับ
Lu7 แอลยูเซเว่น
หากคุณมีน้ำตาลในเลือดสูง ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ให้ลองสังเกตว่าเริ่มมีอาการแทรกซ้อนเหล่านี้แล้วหรือไม่
แอลยูเซเว่น คืออะไร??
แอลยูเซเว่น คือ ส่วนผสมของสมุนไพรที่มีงานวิจัย และเป็นสมุนไพรธรรมชาติ ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ใส่ใจขั้นตอนการปลูก และ การเก็บเกี่ยว มีการควบคุมกระบวนการผลิตตามมาตฐานระดับโลก โรงงานผลิตได้ตรา USDA/ HACCP/ OneCert /EU Organic / GMP
ปริมาณการทานLU7
- น้ำหนักไม่เยอะ(ไม่อ้วน) : ทานวันละ 2 แคปซูล 2 มื้อ ทานก่อนอาหารคำแรกเข้าปาก (หากลืมทานหลังอาหารทันที)
- น้ำหนักเยอะ (อวบ) : ทานวันละ 3 แคปซูล 2 มื้่อ ทานก่อนอาหารคำแรกเข้าปาก (หากลืมทานหลังอาหารทันที)
- น้ำหนักเยอะ (อ้วน) : ทานวันละ 3 แคปซูล 3 มื้อ ทานก่อนอาหารคำแรกเข้าปาก (หากลืมทานหลังอาหารทันที)